ชื่อวิทยาศาสตร์ | Alocasia macrorrhizos (L.) G.Don |
ชื่อสามัญ | Elephant ear, Giant taro, Ape, Ear elephant, Giant alocasia, Pai |
วงศ์ | ARACEAE |
ชื่ออื่น | กระดาดดำ (กาญจนบุรี), กระดาดแดง (กรุงเทพฯ), บึมบื้อ (เชียงใหม่), บอนกาวี เอาะลาย (ยะลา), โหรา (สงลา), คือ โทป๊ะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), เผือกกะลา มันโทป้าด (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), กลาดีบูเก๊าะ (มลายู-ยะลา) เป็นต้น[1] (ส่วนข้อมูลอื่นระบุว่ามีชื่อว่า กระดาดเขียว, กระดาดขาว, บอนเขียว |
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
|
ต้นกระดาด เป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจัดเป็นไม้ล้มลุก มีเหง้าทอดไปตามพื้นดิน ลำต้นตั้งตรง และมีความสูงได้มากกว่า 1 เมตรจนถึง 2 เมตร ลำต้นสั้นและเป็นสีม่วงปนสีน้ำตาล มีหัวอยู่ใต้ดิน ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด แยกหน่อและไหล มักขึ้นในที่ที่มีอากาศชื้น แสงแดดรำไร มีเขตการกระจายพันธุ์ในเขตร้อนทั่วไป ในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ
ใบกระดาด ใบเป็นใบเดี่ยว ออกจากหัวใต้ดิน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่แกมรูปหัวใจ ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบเว้าลึก ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นแบบห่าง ๆ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 25-60 เซนติเมตรและยาวประมาณ 30-90 เซนติเมตร หลังใบเรียบเป็นสีเขียวและเป็นมันลื่น ส่วนท้องใบเรียบ มีเส้นแขนงของใบอยู่ข้างละประมาณ 5-7 เส้น ส่วนก้านใบใหญ่และเป็นสีม่วงปนสีน้ำตาล ยาวประมาณ 1.2-1.5 เมตร ดอกกระดาด ออกดอกเป็นช่อ ช่อมีลักษณะเป็นแท่งยาวปลายแหลม (ลักษณะคล้ายกับดอกบอน) ออกตรงกลางต้น มีความยาวประมาณ 11-23 เซนติเมตร ส่วนก้านช่อดอกเล็ก ยาวประมาณ 25-50 เซนติเมตร ดอกมีกาบสีเหลืองอมสีเขียวหุ้มอยู่ ส่วนโคนของกาบโอบรอบโคนของช่อ ช่อดอกจะประกอบไปด้วยดอกเพศผู้อยู่ที่บริเวณส่วนบน มีความยาวประมาณ 2 เซนติเมตร ส่วนดอกเพศเมียจะอยู่บริเวณโคนช่อ มีความยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร ซึ่งดอกจะเป็นแบบแยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน ดอกเพศผู้จะมีจำนวนมากกว่าดอกเพศเมีย และระหว่างดอกเพศผู้และดอกเพศเมียคอดยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร ส่วนปลายเป็นส่วนที่ไม่มีดอก จะยาวประมาณ 6.7-13 เซนติเมตร ปลายมน ดอกเพศเมียจะมีรังไข่ 1 ช่อง และมีออวุลอยู่ 3-5 เม็ด ยอดเกสรเพศเมียจะมีลักษณะเป็นรูปหกเหลี่ยมตัด มีความกว้างประมาณ 1 มิลลิเมตร โดยดอกเพศผู้จะสั้นกว่าและกว้างกว่าดอกเพศเมีย ค่อนข้างแบนทางด้านข้าง ผลกระดาด ผลเป็นผลสด ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมและมีขนาดเล็ก (บ้างว่าเป็นรูปไข่กลีบ) โดยมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของผลประมาณ 0.8-1.2 เซนติเมตร เนื้อในผลนุ่มสีแดงและมีเมล็ดแข็งอยู่ 1 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะเป็นรูปทรงกลมและเป็นสีดำ
|
สรรพคุณ | 1.น้ำจากก้านใบมีรสเย็น ใช้กินแก้อาการไอ (น้ำจากก้านใบ)
2.ต้น ราก เหง้าใช้เป็นยาระบายแบบอ่อน ๆ โดยนำมาต้มกินเป็นยา (ราก, ต้น) 3.ใช้เป็นยาถ่ายชนิดอุจจาระเป็นพรรดึก (รากหรือเหง้า) 4.ยาต้มจากใบใช้กินแก้อาการท้องผูกชนิดพรรดึก (ใบ) 5.ไหลใช้กินเป็นยาขับพยาธิ (ไหล) 6.รากหรือเหง้ามีรสเย็นและจืด ใช้ต้มกินเป็นยาขับปัสสาวะ (ราก) 7.ใบใช้เป็นยาฝาดสมาน ช่วยห้ามเลือด (ใบ) 8.หัวมีรสเมาเย็น นำมาโขลกใช้พอกรักษาแผลที่เป็นหนอง (หัว) 9.ใบมีรสเย็น ช่วยแก้อาการอักเสบที่ข้อทำให้บวมแดง (ใบ) 10.รากใช้ทาแก้พิษของแมงป่อง (ราก) |
แหล่งอ้างอิง | https://medthai.com |